วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แกงผักกาด




ส่วนผสม

1. ผักกาดแม้ว 300 กรัม
2. เนื้อไก่บ้าน 200 กรัม
3. มะแขว่นคั่ว 1 ช้อนชา
4. น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ

เครื่องแกง

1. พริกแห้ง 5 เม็ด
2. กระเทียม 5 กลีบ
3. หอมแดง 5 หัว
4. กะปิ 1 ช้อนชา
5. เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

1. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
2. ผัดเครื่องแกงกับน้ำมัน จนมีกลิ่นหอม
3. ใส่ไก่ ผัดให้เข้ากัน
4. เติมน้ำ เคี่ยวจนไก่นิ่ม ใส่ผักกาด
4. ต้มจนผักสุก ปิดไฟ
5. ใส่มะแขว่นโขลก คนให้ทั่ว

แกงผักกาดมีหลายสูตร แต่ละสูตรอาจใช้ชนิดผักกาด เครื่องแกง และวิธีการแกงแตกต่างกันไป แกงผักกาดใส่ไก่ นิยมใช้ผักกาดกวางตุ้ง หรือผักกาดจ้อน (ผักกาดกวางตุ้งที่มีดอก) และผักกาดเขียว นิยมใส่มะแขว่นหรือผลกำจัดย่างไฟด้วย เพื่อให้แกงมีกลิ่นหอม บ้างนิยมแกงผักกาดเขียวใส่เนื้อวัว (แกงผักกาดใส่จิ๊นงัว) และใส่ผักชีลาวก่อนยกหม้อลงจากเตา บ้างนิยมใส่ปลา โดยใช้ผักกาดกวางตุ้งที่ยังไม่ออกดอก จะใส่ปลาดุกหรือปลาช่อนก็ได้ (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, 483; ประทุม อุ่นศรี, 2550, สัมภาษณ์)

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

น้ำพริกน้ำปู




ส่วนผสม
1. พริกขี้หนู 20 เม็ด
2. กระเทียม 10 กลีบ
3. หอมแดง 5 หัว
4. ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำปู 1 ช้อนโต๊ะ
6. เกลือ 1/2 ช้อนชา


วิธีทำ

1. โขลกเกลือ ตะไคร้ กระเทียม และหอมแดง รวมกันให้ละเอียด
2. โขลกพริกขี้หนูรวมกัน
3. ใส่น้ำปูลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน

น้ำพริกน้ำปู อ่านว่า น้ำพิกน้ำปู๋ เป็นน้ำพริกที่มีลักษณะข้น ชนิดของพริกที่ใช้คือ พริกขี้หนูดิบ หรือพริกหนุ่ม (พริกดิบ) แล้วแต่ชอบ (สุมาลี ทะบุญ, สัมภาษณ์, 27 มิถุนายน 2550)

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

น้ำพริกตาแดง




ส่วนผสม

. พริกแห้งย่างไฟ 15 เม็ด
2. กระเทียมย่างไฟ 20 กลีบ
3. หอมแดงย่างไฟ 5 หัว
4. ปลาแห้งป่น 2 ช้อนโต๊ะ
5. ปลาร้าสับย่างไฟ 1 ช้อนโต๊ะ
6. ถั่วเน่าแข็บย่างไฟ 1/2 แผ่น
7. เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. โขลกเกลือกับกระเทียมรวมกัน
2. ใส่พริกแห้งย่างไฟ ตามด้วยปลาแห้งป่น โขลกให้เข้ากัน
3. ใส่ปลาร้าสับย่างไฟ โขลกให้เข้ากัน
4. ใส่ถั่วเน่าแข็บย่างไฟ โขลกให้เข้ากัน
5. ใส่หอมแดงย่างไฟ โขลกรวมกันให้ละเอียด คนให้เข้ากัน


น้ำพริกตาแดง อ่านว่า น้ำพิกต๋าแดง บ้างเรียก น้ำพริกแดง เป็นน้ำพริกที่มีลักษณะข้นเหนียว มีส่วนผสมหลักคือ พริกแห้ง ปลาร้า ถั่วเน่าแข็บ ปลาแห้ง บางสูตรไม่นิยมใส่ถั่วเน่าแข็บ และปลาแห้ง(สุมาลี ทะบุญ, สัมภาษณ์, 27 มิถุนายน 2550)

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

น้ำพริกแคบหมู



ส่วนผสม

1. แคบหมู 50 กรัม
2. พริกหนุ่มย่างไฟ 20 เม็ด
3. กระเทียม 10 กลีบ
4. เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. โขลก เกลือ กระเทียม และพริกเดือยย่างไฟ รวมกันให้ละเอียด
2. ใส่แคบหมู ลงโขลกรวมกัน


น้ำพริกแคบหมู เป็นน้ำพริกที่มีลักษณะค่อนข้างแห้ง ชนิดของพริกที่นิยมใช้คือ พริกหนุ่ม หรือพริกดิบ บ้างใส่พริกขี้หนูด้วย แล้วแต่ชอบ บ้างนิยมนำกระเทียมย่างไฟก่อนนำมาปรุง (สุมาลี ทะบุญ, สัมภาษณ์, 27 มิถุนายน 2550)

น้ำพริกจิ๊นหมู



ส่วนผสม

1. เนื้อหมูบด 100 กรัม
2. พริกชี้ฟ้าย่างไฟ 2 เม็ด
3. หอมแดงย่างไฟ 3 หัว
4. กระเทียมย่างไฟ 5 กลีบ
5. เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. ต้มหมูสับ ใส่น้ำเล็กน้อย พอสุก ตักขึ้นพักไว้
2. โขลกพริก หอมแดง กระเทียม รวมกันให้ละเอียด
3. ใส่หมูสับ โขลกให้เข้ากัน
4. เติมน้ำต้มหมูพอขลุกขลิก คนให้เข้ากัน

น้ำพริกจิ๊นหมู หรือน้ำพริกจิ๊น เป็นน้ำพริกที่มีลักษณะข้นถึงขลุกขลิก โดยเอาน้ำต้มเนื้อหมูใส่ลงไปด้วย ใส่มากน้อยแล้วแต่ชอบ ชนิดของพริกที่นิยมใช้คือ พริกดิบ จะเป็นพริกชี้ฟ้า หรือพริกดิบพันธุ์ใดก็ได้ ถ้าชอบเผ็ด ให้ใช้พริกชี้ฟ้า (ศิริพร โปร่งคำ, สัมภาษณ์, 21 มิถุนายน 2550)

เคล็ดลับในการปรุง/เลือกส่วนผสม

บีบมะนาวใส่หมูสับก่อนนำลงต้ม จะทำให้หมูสับนิ่ม

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หลามบอน



ส่วนผสม

1. บอนต้นอ่อน 500 กรัม
2. ใบมะกรูด 5 ใบ

เครื่องแกง

1. พริกแห้ง 15 เม็ด
2. หอมแดง 7 หัว
3. ข่าหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
4. ตะไคร้หั่น 2 ช้อนโต๊ะ
5. เม็ดผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
6. เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

1. ปอกเปลือกบอน หั่นเป็นท่อน ล้างน้ำ นำไปนึ่ง นึ่งให้สุกจนเละ ประมาณ 30 นาที พักไว้
2. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
3. ผสมเครื่องแกงกับบอนนึ่งคนให้เข้ากัน
4. ใส่ส่วนผสมลงในกระบอกไม้ไผ่
5. นำไปย่างไฟ คอยเติมน้ำ ใช้ไม้คนไปมา
6. เมื่อหลามบอนสุกแล้ว ผ่าครึ่งกระบอกไม้ไผ่ นำมารับประทานได้

หลามบอน มีวิธีการทำคล้ายกับแกงบอน แต่ทำให้สุกโดยใส่ลงกระบอกไม้ไผ่ นำมาเผากับถ่านไม้ และไม่ผัดเครื่อแกงกับน้ำมันพืช (สุมาลี ทะบุญ, สัมภาษณ์, 24 มิถุนายน 2550)

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แกงแคหอย



ส่วนผสม

1. หอยขม 400 กรัม
2. ข้าวคั่ว 1/2 ถ้วย
3. ตำลึง 1/2 ถ้วย
4. ชะพลู 1/2 ถ้วย
5. ชะอม 1/2 ถ้วย
6. ถั่วฝักยาว 1/4 ถ้วย
7. มะเขือยาว 1/4 ถ้วย
8. มะเขือพวง 1/4 ถ้วย
9. ยอดมะพร้าวอ่อน 1/4 ถ้วย
10. พริกขี้หนู 3 เม็ด
11. ดอกงิ้วแห้ง 10 ดอก
12. ข่าหั่น 4 แว่น
13. ตะไคร้หั่นเป็นท่อน 1 ต้น
14. ผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ
15. ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
16. น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ

เครื่องแกง

1. พริกแห้ง 5 เม็ด
2. กระเทียม 5 กลีบ
3. หอมแดง 5 หัว
4. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
5. เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

1. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
2. ล้างหอยขมให้สะอาด แล้วตัดก้นหอยออก
3. กระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมัน ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม
4. ใส่หอยลงผัดให้เข้ากัน เติมน้ำ เคี่ยวต่อจนหอยสุก
5. ใส่ตะไคร้ และข่า
6. ใส่ผักแกงแค คนให้ทั่ว
7. พอเดือด ใส่ข้าวคั่ว คนให้เข้ากัน พอผักสุก ปิดไฟ

แกงแคหอย หรือแกงข้าวคั่วหอย ใช้ส่วนผสมเช่นเดียวกับแกงแค เพียงแต่เปลี่ยนจากแกงกับเนื้อไก่หรืออื่นๆ มาเป็นหอยขม และใส่ข้าวคั่ว เพื่อให้น้ำแกงมีความข้นและมีกลิ่นหอมจากข้าวคั่ว

เคล็ดลับในการปรุง/เลือกส่วนผสม

เคล็ดลับในการปรุง
ล้างหอยขม โดยแช่น้ำไว้ ใส่พริกขี้หนูทุบพอแตก จะช่วยให้ล้างเศษดินที่ติดอยู่ออกได้ง่าย

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552



ส่วนผสม

1. เนื้อไก่บ้าน 200 กรัม
2. ตำลึง 1 ถ้วย
3. ชะอม 1/2 ถ้วย
4. ชะพลู 1/2 ถ้วย
5. ถั่วฝักยาว 1/2 ถ้วย
6. มะเขือเปราะ 1/2 ถ้วย
7. มะเขือพวง 1/4 ถ้วย
8. ดอกงิ้วแห้ง 5 ดอก
9. เห็ดลมอ่อน 1/2 ถ้วย
10. ถั่วพู 1/2 ถ้วย
11. ผักขี้หูด 1/2 ถ้วย
12. ผักเผ็ด 1/2 ถ้วย
13. ดอกข่า 3 ดอก
14. ใบมะกรูด 5 ใบ
15. ผักชีฝรั่ง 2 ต้น
16. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
17. กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ

เครื่องแกง

1. พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด
2. กระเทียม 10 กลีบ
3. หอมแดง 5 หัว
4. ข่าหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
5. ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
6. กะปิ 1 ช้อนชา
7. ปลาร้าต้มสุก 1 ช้อนโต๊ะ
8. เกลือ 1/2 ช้อนชา


วิธีทำ

1. สับไก่เป็นชิ้นพอคำ
2. เด็ดหรือหั่นผักทุกชนิด ล้างให้สะอาด พักไว้
3. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
4. เจียวกระเทียมที่สับแล้วพอเหลือง ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม
5. ใส่ไก่ ผัดไก่ให้สุก
6. ใส่น้ำพอท่วมไก่ ตั้งต่อให้เดือด
7. ใส่ผักสุกยาก ตามด้วยผักที่สุกง่าย คนให้เข้ากัน พอผักสุก ยกลง

แกงแค เป็นแกงที่ประกอบด้วยผักหลายชนิด และมีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสมด้วยหนึ่งอย่าง เรียกชื่อแกงแคตามชนิดของเนื้อสัตว์ที่นำมาเป็นส่วนผสมนั้น เช่น แกงแคไก่ แกงแคกบ แกงแคจิ๊นงัว แกงแคปลาแห้ง ผักที่เป็นส่วนผสมหลัก ส่วนใหญ่ประกอบด้วย ผักตำลึง ผักชะอม ใบชะพลู ผักชีฝรั่ง มะเขือพวง เห็ดลมอ่อน ผักเผ็ด และดอกแค (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, 475; สิรวิชญ์ จำรัส, สัมภาษณ์, 15 มิถุนายน 2550)

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แกงกล้วยดิบ




ส่วนผสม

1. กล้วยน้ำว้าดิบ 5 ลูก
2. เนื้อหมูสามชั้น 100 กรัม
3. ชะอมเด็ด 1 ถ้วย
4. ชะพลูหั่นหยาบ 1 ถ้วย
5. หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ


เครื่องแกง

1. พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด
2. กระเทียม 10 กลีบ
3. หอมแดง 5 หัว
4. ข่าหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
5. ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
6. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
7. ปลาร้าต้มสุก 1 ช้อนโต๊ะ
8. เกลือ 1/2 ช้อนชา


วิธีทำ

1. แกะเปลือกกล้วยออก หั่นบางๆ แช่ในน้ำผสมเกลือ
2. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
3. คั่วเครื่องแกงให้หอม ใส่น้ำ พอเดือด
4. ใส่หมูสามชั้น ต้มให้หมูสุก
5. ใส่กล้วย ต้มประมาณ 10 นาที จนกล้วยสุก
6. ใส่หอมแดงซอย ใส่ผักชะอม ใบชะพลู พอเดือด ปิดไฟ

แกงกล้วยดิบ เป็นแกงผักชนิดหนึ่ง นิยมใช้กล้วยน้ำว้าเป็นส่วนผสมหลัก และแกงกับเนื้อหมู

เคล็ดลับในการปรุง/เลือกส่วนผสม

เคล็ดลับในการปรุง
ต้มกล้วยดิบให้สุก จนไม่มีรสฝาด

เคล็ดลับในการเลือกส่วนผสม
ควรเลือกกล้วยน้ำว้าผลแก่ แต่เปลือกยังเขียวอยู่

แกงกล้วยดิบ

แกงกระด้าง




ส่วนผสม

1. ขาหมู 300 กรัม
2. กระเทียม 20 กลีบ
3. พริกไทย 1/2 ช้อนโต๊ะ
4. รากผักชี 3 ราก
5. ผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
6. ต้นหอม 1 ช้อนโต๊ะ
7. เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. ล้างขาหมูให้สะอาด เลาะเอากระดูกออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
2. นำขาหมูที่หั่นแล้วไปต้ม เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ประมาณ 1 ชั่วโมง
3. โขลกกระเทียม พริกไทย และรากผักชี รวมกันให้ละเอียด
4. ใส่ส่วนผสมที่โขลกลงในหม้อต้มขาหมู ตามด้วยเกลือ ต้มต่อสักครู่
5. เทใส่ถาด นำใส่ตู้เย็น จนแข็งตัว หรือในหน้าหนาว ทิ้งไว้ค้างคืน แกงจะแข็งตัวเอง โรยหน้าด้วยผักชีซอยและต้นหอมซอย

แกงกระด้าง บ้างเรียกว่า แกงหมูกระด้าง แกงหมูหนาว นิยมใช้ขาหมูทำ เพราะเป็นส่วนที่มีเอ็นมาก เป็นส่วนที่ทำให้แกงข้น เกาะตัว หรือกระด้างง่าย แต่ปัจจุบันมีการเติมผงวุ้นเย็น เพื่อช่วยให้แกงกระด้างได้ดีและเร็วขึ้น แกงกระด้างมี 2 สูตร คือแบบเชียงใหม่ และแบบเชียงราย สำหรับแกงกระด้างแบบเชียงรายจะใส่เครื่องแกงลงไปขณะต้มขาหมู และจะมีสีส้มจากพริกแห้ง (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, 475; ดีกิจ กัณทะกาลังค์, 2550, สัมภาษณ์)

เคล็ดลับในการปรุง/ส่วนผสม

เคล็ดลับในการปรุง
ขาหมูควรเผาไฟก่อน เพื่อให้ขนหลุดออกง่าย

เคล็ดลับในการเลือกส่วนผสม
ขาหมู ควรสดและใหม่ เลือกที่หนังไม่หนาเกินไป

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แกงอ่อมหมู




ส่วนผสม

1. เนื้อหมูและเครื่องในหมู 300 กรัม
2. ข่าอ่อนซอย 7 แว่น
3. ตะไคร้ซอย 1 ต้น
4. ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ
5. รากผักชี 3 ราก
6. ผักชีฝรั่งหั่นหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
7. ผักชีซอย 1/2 ช้อนโต๊ะ
8. ต้นหอมซอย 1/2 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำมันพืช 1/2 ถ้วย

เครื่องแกง

1. พริกแห้ง 7 เม็ด
2. พริกขี้หนูแห้ง 4 เม็ด
3. หอมแดง 3 หัว
4. กระเทียม 20 กลีบ
5. ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
6. ข่าซอย 1 ช้อนโต๊ะ
7. ขมิ้นซอย 1 ช้อนชา
8. เกลือ 1 ช้อนชา
9. กะปิ 1/2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
2. หั่นเนื้อหมูและเครื่องในหมู ขนาดชิ้นพอคำ
3. ผัดเครื่องแกงกับน้ำมัน จนมีกลิ่นหอม
4. ใส่เนื้อหมูและเครื่องในลงผัด ใส่ข่า ตะไคร้ รากผักชี ผัดให้เข้ากัน
5. เติมน้ำ เคี่ยวต่อจนเนื้อและเครื่องในนุ่ม ปิดไฟ โรยใบมะรูด ผักชีต้นหอม ผักชีฝรั่ง

แกงอ่อมหมู นิยมใช้เนื้อหมูและเครื่องในหมูเป็นส่วนผสมหลัก บ้างใช้แต่เครื่องใน เรียก แกงอ่อมเครื่องในหมู มีวิธีการแกงเช่นเดียวกับแกงเนื้อสัตว์อื่นๆ แกงอ่อม ถือเป็นอาหารชั้นดีอย่างหนึ่งของชาวล้านนา นิยมใช้เลี้ยงแขกในเทศกาลงานเลี้ยงต่างๆ (เทียนชัย สุทธนิล, สัมภาษณ์, 19 มิถุนายน 2550)

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แกงขนุน




ส่วนผสม

1. ขนุนอ่อน 300 กรัม
2. ซี่โครงหมูสับ 100 กรัม
3. มะเขือเทศลูกเล็ก 5 ลูก
4. ชะอมเด็ด 1/2 ถ้วย
5. ชะพลูหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย

เครื่องแกง

1. พริกแห้ง 5 เม็ด
2. กระเทียม 5 กลีบ
3. หอมแดง 5 หัว
4. กะปิ 1 ช้อนชา
5. เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

1. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
2. ต้มน้ำเปล่า พอเดือด ละลายเครื่องแกงลงในน้ำเดือด
3. ใส่ซี่โครงหมู ต้มจนหมูนุ่ม
4. ใส่ขนุน ต้มให้ขนุนนิ่ม
5. ใส่มะเขือเทศ ชะอม และใบชะพลู คนให้เข้ากัน พอผักสุก ปิดไฟ

แกงบอน




ส่วนผสม

1. บอนต้นอ่อน 8 ต้น
2. หูหมู 1/2 ถ้วย
3. น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
4. ข่าหั่น 5 แว่น
5. ตะไคร้ 1 ต้น
6. กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ
7. ใบมะกรูด 5 ใบ
8. กระเทียมเจียว 2 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำมันพืช 2 ช้อนชา

เครื่องแกง

1. พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด
2. กระเทียม 10 กลีบ
3. หอมแดง 5 หัว
4. ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
5. กะปิ 1 ช้อนชา
6. ปลาร้าต้มสุก 1 ช้อนโต๊ะ
7. เกลือ 1/2

วิธีทำ

1. บอนปอกเปลือก หั่นเป็นท่อน ล้างน้ำ แล้วนำไปนึ่ง
2. นึ่งให้สุกจนเละ ประมาณ 30 นาที แล้วพักไว้
3. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
4. เจียวกระเทียมพอให้เหลือง ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม ใส่ข่าหั่น ตะไคร้ซอย ผัดให้เข้ากัน ใส่น้ำมะขามเปียก เกลือ ผัดให้เข้ากัน ใส่หูหมู ผัดให้เข้ากัน
5. ใส่บอนลงผัดให้เข้ากัน
6. ใส่ใบมะกรูดฉีก คนให้เข้ากัน ปิดไฟ

แกงบอน บางแห่งเรียก หลามบอน (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, 479) หลามบอนบางท้องที่ เช่น อำเภอแม่แจ่ม หมายถึง แกงบอนที่เอาไปใส่กระบอกไม้ไผ่ดิบ แล้วนำไปย่างถ่านไม้ เหมือนข้าวหลาม ไม่ผัดเครื่องแกงกับน้ำมันพืช (สุมาลี ทะบุญ, สัมภาษณ์, 24 มิถุนายน 2550) การเรียกแกงบอน บางคนถือเคล็ด ให้เรียกว่า แกงผักหวาน เพราะกลัวว่าจะทำให้คันปาก บางตำรับ ก่อนนำบอนมาแกง จะแขวนผึ่งลมไว้ 1 คืน ก่อนที่จะนำมาแกง (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, p. 479)


เคล็ดลับในการปรุง/เลือกส่วนผสม

เคล็ดลับในการปรุง
การนึ่งบอน ต้องให้สุก จับดูแล้วนิ่มจนเละ ถ้าบอนไม่สุก จะทำให้เกิดอาการระคายคอ

เคล็ดลับในการเลือกส่วนผสม
เลือกใช้บอนต้นอ่อน พันธุ์สีเขียวสด และไม่มีสีขาวเคลือบอยู่ตามก้านและใบ บอนสีเขียวสด เรียกว่า บอนหวาน ส่วนชนิดที่มีสีซีดกว่า และนวลขาวกว่า เรียกว่า บอนคัน ส่วนของบอนที่นำมาแกงคือ หลี่บอน เป็นยอดอ่อน หรือใบอ่อนของบอนที่อยู่ใกล้โคนต้น ในการปรุงแกงบอน ถ้าไม่ใช้น้ำมะขามเปียก ให้ใช้น้ำส้มป่อยแทนได้ (สิรวิชญ์ จำรัส, 2550; รัตนา พรหมพิชัย, 2542, 479)

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แอ็บกุ้ง




ส่วนผสม

1. กุ้งนา 200 กรัม
2. ใบขิง 1/2 ถ้วย

เครื่องแกง

1. พริกขี้หนู 20 เม็ด
2. หอมแดง 10 หัว
3. กระเทียม 20 กลีบ
4. ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
5. ข่าหั่น 2 ช้อนโต๊ะ
6. ขมิ้นหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
7. กะปิ 1/2 ช้อนโต๊ะ
8. เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
2. ล้างกุ้งฝอยล้างให้สะอาด ใส่ภาชนะ ใส่เครื่องแกงลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน
3. ใส่ใบขิงซอย คลุกเคล้าให้เข้ากัน
4. เตรียมใบตอง กว้าง 8 นิ้ว วางซ้อนกันสองชั้นสลับหัวท้าย ตักส่วนผสมใส่ลงตรง
กลางใบตอง
5. ห่อเป็นรูปสี่เหลี่ยม ใช้ไม้กลัด กลัดใบตองให้ติดกัน
6. นำไปย่างไฟอ่อนๆ
7. ย่างจนกระทั่งใบตองเหลืองเกรียม คอยกลับด้าน ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที

แอ็บกุ้ง คืออาหารที่ปรุงด้วยการนำกุ้งสด นิยมใช้กุ้งฝอย นำมาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง แล้วห่อด้วยใบตอง เช่นเดียวกับแอ็บอ่องออ แอ็บปลา ทำให้สุกโดยปิ้งหรือย่าง ด้วยไฟอ่อนๆ จนข้างในสุก (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, หน้า 8111; อัมพร โมฬีพันธ์, สัมภาษณ์, 26 มิถุนายน 2550)

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หลู้




ส่วนผสม

1. เนื้อหมูสับ 50 กรัม
2. เครื่องในหมูทอดกรอบ 200 กรัม
3. ไตหมู 1/2 ถ้วย
4. มันหมู 1/2 ถ้วย
5. เลือดหมู 2 ถ้วย
6. น้ำต้มกะปิ 2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำกระเทียมดอง 1/2 ถ้วย
8. ใบมะนาวทอดกรอบ 10 ใบ
9. ใบมะกรูดทอดกรอบ 10 ใบ
10. ตะไคร้ทอดกรอบ 2 ช้อนโต๊ะ
11. หอมแดงเจียว 2 ช้อนโต๊ะ
12. กระเทียมเจียว 2 ช้อนโต๊ะ
13. พริกลาบ 3 ช้อนโต๊ะ
14. ใบตะไคร้ 10 ต้น
15. ผักไผ่ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
16. ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
17. ผักชีซอย 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1.คั้นเลือดสดด้วยใบตะไคร้ เพื่อดับกลิ่นคาวเลือด
2.ใส่น้ำต้มซุป พริกลาบ น้ำกระเทียมดอง และน้ำต้มกะปิ ลงในชามเลือด คนให้เข้ากัน
3.ใส่หมูสับ ลงในชามส่วนผสม
4.ใส่ไตหมู และมันหมู คนให้เข้ากัน
5.ใส่ใบมะนาวทอดกรอบ ใบมะกรูดทอดกรอบ ตะไคร้ทอดกรอบ หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว ผักไผ่ และผักชีต้นหอม คนให้เข้ากัน
6.ใส่เครื่องในทอดกรอบ คนให้เข้ากัน

หลู้ เป็นอาหารประเภทดิบสดประเภทเดียวกับลาน และส้าจิ๊น ซึ่งใช้เครื่องปรุงเดียวกัน การทำหลู้นิยมใช้เลือดสดๆ ของหมู วัว หรือควาย ชาวล้านนานิยมใช้เลือดหมูในการทำมากกว่าเลือดวัวและควาย บางสูตรใช้น้ำเพลี้ย (กากอาหารที่ค้างในลำไส้ของวัวควาย) โดยนำเพี้ยสดๆ หรือต้มก่อนก็ได้ แทนน้ำเลือด เรียกว่า หลู้เพี้ย (ประธาน นันไชยศิลป์, สัมภาษณ์, 3 กรกฎาคม 2550; รัตนา พรหมพิชัย, 2542, หน้า 7482)

เคล็ดลับในการปรุง/เลือกส่วนผสม

เคล็ดลับในการเลือกส่วนผสม
เลือดที่นิยมใช้เป็นเลือกในโครง คือเลือดที่ตกอยู่โพรงอกตอนชำแหล่ะ ซึ่งถือว่าเป็นเลือดที่สะอาด (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, หน้า 7482)

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ลาบปลา




ส่วนผสม

1. ปลานิล 300 กรัม
2. ข้าวคั่ว 1/2 ถ้วย
3. พริกลาบ 3 ช้อนโต๊ะ
4. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
5. ตะไคร้ 2 ต้น
6. ขมิ้น 1 หัว
7. ผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
8. ต้นหอม 1 ช้อนโต๊ะ
9. ผักไผ่ 2 ช้อนโต๊ะ
10. กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
11. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องเคียง

1. ถั่วฝักยาว
2. มะเขือเปราะ
3. กระถิน
4. ผักคาวตอง
5. ยอดมะกอก
6. ปีบ

วิธีทำ

1. ล้างปลานิลให้สะอาด ใส่หม้อต้มทั้งตัว ใส่กะปิ ตะไคร้ทุบ ขมิ้นทุบ พอปลาสุก ตักขึ้นพักไว้
2. แกะปลาเอาแต่เนื้อ นำมาสับให้ละเอียด
3. ผสมน้ำต้มปลา พริกลาบ และเนื้อปลาสับ คลุกเคล้าให้เข้ากัน
4. ใส่ข้าวคั่ว คนให้เข้ากัน
5. ใส่ผักไผ่ ตามด้วยผักชีต้นหอม แล้วคลุกเคล้าให้ทั่ว
6. เจียวกระเทียมกับน้ำมันพืช พอเหลืองใส่ลาบปลาลงผัดให้หอม เติมน้ำเล็กน้อย ผัดให้เข้ากัน

ลาบปลา เป็นอาหารประเภทลาบ ที่มีส่วนประกอบหลัก คือเนื้อปลาต้ม นำมาสับให้ละเอียด ปรุงด้วยเครื่องปรุงอันประกอบด้วยพริกแห้งเผา และเครื่องเทศต่างๆ เช่นเดียวกับลาบชนิดอื่นๆ เครื่องเคียง ได้แก่ ผักสดนานาชนิด โดยเฉพาะประเภทสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมแรง และเรียกผักที่นำมารับประทานกับลาบว่า “ผักกับลาบ” (ประธาน นันไชยศิลป์, 2550, สัมภาษณ์)

เคล็ดลับในการปรุง/เลือกส่วนผสม

การทำข้าวคั่ว ใช้ข้าวสารเจ้า หรือข้าวสารเหนียวก็ได้ มาคั่วไฟอ่อนๆ ให้สีเหลือง แล้วโขลกให้ละเอียด

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ลาบไก่




ส่วนผสม

1. เนื้อไก่บ้าน 300 กรัม
2. น้ำต้มกะปิ 1/2 ถ้วย
3. หนังไก่ทอดกรอบ 1/2 ถ้วย
4. เลือดไก่ 1/2 ถ้วย
5. ผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
6. ต้นหอม 1 ช้อนโต๊ะ
7. ผักไผ่ 2 ช้อนโต๊ะ
8. พริกลาบ 3 ช้อนโต๊ะ
9. เกลือป่น 1 ช้อนชา

เครื่องเคียง

1. ยอดมะกอก
2. ผักคาวตอง
3. ผักชี

วิธีทำ

1. หั่นเนื้อไก่เป็นชิ้นเล็ก ๆ
2. สับไก่ให้ละเอียด ขณะที่สับไก่ใส่เลือดไก่ทีละน้อย
3. สับไก่จนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
4. นำน้ำต้มกะปิ พริกลาบ และเกลือ คนให้เข้ากัน
5. ใส่เนื้อไก่ที่สับแล้ว แล้วคนให้เข้ากัน
6. ใส่ผักชีต้นหอมซอย ตามด้วยผักไผ่ซอย คลุกเคล้าให้เข้ากัน
7. ใส่หนังไก่ทอด คลุกเคล้าให้เข้ากัน
8. โรยด้วยกระเทียมเจียว

ลาบไก่ เป็นอาหารที่นิยมทำกินกันในโอกาสพิเศษหรืองานเลี้ยงหรือในเทศกาลต่างๆ เช่นเดียวกับลาบหมู ลาบควาย ลาบวัว ส่วนประกอบหลักของลาบไก่ คือเนื้อไก่สด นำมาสับให้ละเอียดคลุกเคล้ากับเลือดสด ปรุงด้วยเครื่องปรุงอันประกอบด้วยพริกแห้งเผา และเครื่องเทศต่างๆ ลาบกินกับผักสดนานาชนิด โดยเฉพาะประเภทสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมแรง และเรียกผักที่นำมากินกับลาบว่า “ผักกับลาบ” ลาบที่ยังไม่สุก เรียกว่า ลาบดิบ ถ้าต้องการรับประทานแบบสุก ก็นำไปคั่วกับน้ำมันพืชเล็กน้อย หรือไม่ใส่น้ำมันก็ได้ตามชอบ เรียกว่า ลาบคั่ว (ประธาน นันไชยศิลป์, 2550, สัมภาษณ์; รัตนา พรหมพิชัย, 2542, 5937-5944)

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ลาบหมู




ส่วนผสม

1. เนื้อหมูสันใน 300 กรัม
2. เครื่องในหมู 200 กรัม
3. เลือดหมู 1/2 ถ้วย
4. ผักไผ่ 2 ช้อนโต๊ะ
5. พริกลาบ 3 ช้อนโต๊ะ
6. กระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
7. พริกขี้หนูแห้งทอด 5 เม็ด

เครื่องเคียง

1. ปีบ
2. กระถิน
3. ผักกาดขาว
4. ผักกาดกวางตุ้ง
5. มะเขือเปราะ
6. ยอดมะกอก
7. เล็บครุฑ
8. ผักคาวตอง

วิธีทำ

1. หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นเล็กๆ
2. สับหมู ขณะที่สับให้ใส่เลือดหมูลงสับด้วยทีละน้อย
3. สับหมู จนกระทั่งหมูละเอียดและนิ่ม
4. หั่นเครื่องในหมูต้มและหนังหมูต้มเป็นชิ้นบางๆ
5. ผสมเลือดหมู น้ำต้มเครื่องในหมู พริกลาบ คนให้เข้ากัน
6. ใส่หมูสับละเอียดลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน
7. ใส่เครื่องในหมูและหนังหมู
8. ใส่ผักไผ่ซอย และผักชีต้นหอมซอย คลุกเคล้าให้เข้ากัน

ลาบหมู เป็นอาหารที่นิยมทำกินกันในโอกาสพิเศษหรืองานเลี้ยงหรือในเทศกาลต่างๆ ส่วนประกอบหลักของลาบหมู คือเนื้อหมูสด นำมาสับให้ละเอียดคลุกเคล้ากับเลือดสดและเครื่องในต้มหั่นซอย ปรุงด้วยเครื่องปรุงอันประกอบด้วยพริกแห้งเผา และเครื่องเทศต่างๆ ลาบกินกับผักสดนานาชนิด โดยเฉพาะประเภทสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมแรง และเรียกผักที่นำมากินกับลาบว่า “ผักกับลาบ” ปัจจุบัน นิยมรับประทานลาบหมู มากกว่าลาบวัว ลาบควาย ลาบที่ยังไม่สุก เรียกว่า ลาบดิบ ถ้าต้องการรับประทานแบบสุก ก็นำไปคั่วกับน้ำมันพืชเล็กน้อย หรือไม่ใส่น้ำมันก็ได้ตามชอบ เรียกว่า ลาบคั่ว (ประธาน นันไชยศิลป์, 2550, สัมภาษณ์; รัตนา พรหมพิชัย, 2542, 5937-5944)

เคล็ดลับในการปรุง/เลือกส่วนผสม

การใช้พริกลาบกับเนื้อหมู ไก่ ปลา จะใช้ พริกลาบสูตรเดียวกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณเนื้อที่จะนำมาทำลาบ เช่น น้ำหนักหมู 1 กิโลกรัม การใช้พริกลาบประมาณ 4-5 ช้อนโต๊ะ เพิ่มหรือลดตามความชอบเผ็ดมากหรือเผ็ดน้อย

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

น้ำพริกอ่อง


เครื่องปรุง


พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำ5 เม็ด
เนื้อหมูติดมันบด 3 ช้อนโต๊ะ
มะเขือส้ม1 ถ้วย
ผักชีเด็ดเป็นใบ1 ต้น
หอมแดงซอย3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมซอย5 กลีบ
กระเทียมสับ3 กลีบ
ตะไคร้ซอย1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น1 ช้อนชา
ถั่วเน่าชนิดแผ่นปิ้งไฟให้หอม1 แผ่น
น้ำมันพืช2 ช้อนโต๊ะ
ผักสด เช่น แตงกวา ถั่วฝักยาว กระถิน ถั่วพู
ผักต้ม เช่น ถั่วฝักยาว มะเขือ ผักบุ้ง หัวปลี ยอดแค ฟักทอง
วิธีทำ
1. โขลกพริกแห้ง ตะไคร้ เกลือเข้าด้วยกันให้ละเอียด ใส่หอมแดง กระเทียมซอยและถั่วเน่าโขลกต่อให้เข้ากันใส่หมูบดโขลกให้เข้ากัน ใส่มะเขือส้มโขลกเบา ๆ ให้เข้ากัน
2. ใส่น้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟกลาง ใส่กระเทียมสับ เจียวให้หอม ใส่พริกที่โขลกลงผัดให้หอม ลดไฟให้อ่อน ผัดพอแห้งน้ำขลุกขลิก
3. ตักใส่ถ้วย โรยใบผักชี รับประทานกับผักสดและผักต้ม

ไส้อั่ว

เครื่องปรุง

หมูสันคอ บดละเอียด 1 กิโลกรัม
ไส้หมู (ไส้เล็ก ล้างสะอาด) 1/3 กิโลกรัม
เครื่องแกง

พริกแห้ง5 เม็ด
รากผักชี2 ช้อนโต๊ะ
ผิวมะกรูด หั่นละเอียด1 ช้อนชา
ใบมะกรูด หั่นฝอย2 ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้ หั่นฝอย3 ช้อนโต๊ะ
หอมแดง5 หัว
กระเทียม2 หัว
กะปิ2 ช้อนชา
เกลือ1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกเครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด
2. ผสมเนื้อหมูที่บดไว้ กับเครื่องแกงให้เข้ากัน ใส่ใบมะกรูดเคล้าให้ทั่ว
3. บรรจุใส่ในไส้ อย่าให้แน่นนัก มัดเป็นท่อนๆ
4. นำไปทอดหรือปิ้งให้สุก

แกงโฮะ

เครื่องปรุง

แกงเผ็ด 2 ถ้วย
แกงฮังเล 2 ถ้วย
แหนมหม้อ ยีให้กระจาย 2 ถ้วย
แคบหมู ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ 2 ถ้วย
วุ้นเส้นตัดสั้น 2 ถ้วย
ใบมะกรูดฉีก ½ ถ้วย
ตำลึง 2 ถ้วย
ตะไคร้หั่นฝอย 1 ถ้วย
พริกขี้หนูสด 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช ½ ถ้วย
วิธีทำ
1. กะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพอร้อน
2. ใส่กระเทียมสับเจียวให้หอม
3. ใส่เครื่องทั้งหมดลงผัดจนน้ำมันแห้ง
4. ใส่วุ้นเส้น
5. ปรุงรสด้วยมะนาว น้ำปลา ตามชอบ

แกงฮังเล


เครื่องปรุง


เนื้อหมูสันนอก1 กิโลกรัม
หมูสามชั้น 500 กรัม
น้ำพริกแกงเผ็ด11/2 ขีด
เกลือป่น และซีอิ๊วดำ อย่างละ 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา2 ช้อนโต๊ะ
ขิงซอย หัวหอม กระเทียมอย่างละ 1 ขีด
กระท้อนเปรี้ยวสับ1 ถ้วย
น้ำตาลอ้อย5 ช้อนโต๊ะ
มะขามเปียก1 ถ้วย
น้ำซุป4 ถ้วย

วิธีทำ

1. หั่นหมูทั้งสองอย่างเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม 2x2 นิ้ว คลุกด้วยพริกแกงเผ็ด ผงฮังเล ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว น้ำปลา และเกลือ หมักไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง
2. นำหมูที่หมักไว้ใส่หม้อตั้งไฟร้อนปานกลาง คนตลอดเวลา 30 นาที
3. ใส่กระท้อนสับ คนต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
4. น้ำตาลอ้อย คนต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
5. ใส่มะขามเปียก คนต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
6. ใส่ขิงซอย หัวหอม กระเทียม คนให้เข้ากัน
7. ใส่น้ำซุป 3 - 4 ถ้วย คนให้เข้ากัน ตั้งไฟอ่อน 1 ชั่วโมง จนเปื่อยได้ที่ ชิมดู อาจเติมน้ำปลาเพิ่มเติม